Conventure  รับสร้างบ้านสวย คุณภาพคุ้มค่า ราคายุติธรรม

31 MAY
ทำความรู้จัก Co-Housing รูปแบบการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป

ทำความรู้จัก Co-Housing รูปแบบการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป

 

 

เลี่ยงไม่ได้ว่า เมื่อการเวลาเปลี่ยนไป ไลฟ์สไตล์ของผู้คนก็เปลี่ยนตาม และสถานการ์ณยุคโควิดในปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้รูปแบบการอยู่อาศัยนั้นเปลี่ยนไป เมื่อความเหงาจากการกักตัวแพร่กระจายมากขึ้น หลายคนเริ่มก็เบื่อหน่ายกับชีวิตการอยู่คนเดียว และหันมาสนใจไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบ Co-Housing มากขึ้น ร่วมทั้งอาจจะยังกำลังหาบริการรับสร้างบ้านแบบ Co-Housing อยู่อีกต่างหาก ดังนั้น Coventure จะพาไปรู้จักกับการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่เรียกกันว่า Co-Housing 

Co-Housing แห่งแรกเกิดขึ้นที่ประเทศเดนมาร์ก ภายใต้ชื่อโครงการ “Sættedammen” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้คนจากหลากหลายแหล่ง ที่มีความต้องการตรงกันมาอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันจนกลายเป็นชุมชนขนาดย่อม 

Sættedammen มีทั้งหมด 35 ครัวเรือน เป็นสมาชิกผู้ใหญ่ 60 คน และเด็ก 20 คน ทุกครอบครัวจะมีพื้นที่บ้านเป็นส่วนตัว แต่จะมีพื้นที่ส่วนกลางและสาธารณูปโภคที่ใช้ร่วมกันและจะอยู่ภายใต้การดูแลของทุกคน 

รูปแบบที่อยู่อาศัยที่ต้องแชร์การใช้พื้นที่กันนั้น ทำให้การวางแผน การออกแบบ รวมถึงสถาปัตยกรรมต่าง ๆ เน้นไปที่พื้นที่ส่วนกลาง ส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมาปฏิสัมพันธ์และทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การทานอาหาร แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความยืดหยุ่น และความเหมาะสมที่เข้ากับการใช้งานของทุกคนอีกด้วย ดังนั้น Co-Housing ที่ไร้ซึ่งนิติบุคคลมาดูแลจัดการส่วนกลาง ทำให้การบริหารจัดการและกิจกรรมภายในชุมชนขนาดย่อมนี้ เป็นเรื่องของสมาชิกทุกคน

ขนาดของ Co-Housing นั้น ก็จะแตกต่างกันไป อาจมีขนาดเล็กตั้งแต่ 6 ครัวเรือน ขึ้นไป หรือมากไปจนถึง 100 ครัวเรือนเลยก็ได้ ส่วนสังคมใน Co-Housing ก็ไม่ได้มีแค่สังคมผู้สูงอายุเพียงเท่านั้นนะ แต่ยังมีสังคมของศิลปินหรือชาวฟรีแลนซ์ ที่ใช้ Co-Housing เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำงานร่วมกัน อีกด้วย Co-Housing ส่วนมากก็จะประกอบไปด้วย บ้านพักแต่ละหลัง และพื้นที่ส่วนกลาง 

 

ดังนั้น เรามาดู 3 ข้อควรรู้ก่อนทำบ้าน Co-Housing กัน

  1. เอกลักษณ์ของบ้าน Co-Housing
    แตกต่างจากบ้านเดี่ยวปกติที่มีรั้วกั้น แยกทั้งตัวบ้านและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านออกจากกัน บ้านแบบ Co-Housing จะรวมกันเป็นอาคารเดียว หรือจะแยกออกเป็นหลัง ๆ ตามแต่ละครอบครัวก็ได้ เพียงแต่จะมีพื้นที่ส่วนกลางที่สมาชิกทุกคนจะใช้และดูแลร่วมกันได้ เช่น ห้องครัว สระว่ายน้ำ หรือสนามเด็กเล่น และการที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมดูแลส่วนกลางก็จะเป็นการเพิ่มความปลอดภัยอีกทางหนึ่งด้วย เพราะทุกคนจะเป็นหูเป็นตาให้แก่กันนั่นเอง

  2. ระบบจัดการและจัดเก็บที่ดี
    แน่นอนว่า การอยู่อาศัยแบบ Co-Housing นั้น ก็อาจจะมาพร้อมปัญหาขยะที่มากตามจำนวนครอบครัว ดังนั้น หากไม่มีระบบการจัดการที่ดี ภายในก็จะไม่เป็นระเบียบและสามารถเกิดความสกปรกได้ง่าย

  3. การออกแบบที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับธรรมชาติ
    Co-Housing ที่ดี นอกจากจะออกแบบให้การอยู่อาศัยร่วมกันเป็นเรื่องง่าย และสามารถสร้างความสุขให้แก่ทุกคน ยังควรคำนึงถึงการออกแบบที่ยั่งยืนอีกด้วย ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่หลาย ๆ คนเริ่มใส่ใจกันมากขึ้น ดังนั้น เราควรที่จะสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ออกแบบรายละเอียดบ้านที่ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุที่เหมาะสม โดยไม่ได้คิดคำนึงถึงแต่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมไปถึงวัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติด้วย 

 

การอยู่อาศัยในรูปแบบ Co-Housing ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เพราะผู้คนหลายคนเริ่มมีความคิดว่าการอยู่คนเดียวมันโดดเดี่ยวเกินไป และอาจจะยังกำลังมองหาบริการรับสร้างบ้านอยู่อีกด้วย ดังนั้น บริการรับสร้างบ้านที่ Conventure อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา